แอปเปิลเปิดตัว iOS 13 เวอร์ชั่นใหม่ เน้นปรับปรุงประสิทธิภาพให้ทำงานเร็วขึ้นกว่าเดิม เพิ่ม Dark Mode คุณสมบัติของกล้องและรูปภาพ มาดู iOS 13 มีอะไรใหม่อีกบ้าง
เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2562 ที่งาน WWDC 2019 งานสัมมนานักพัฒนาประจำปีของแอปเปิล ได้เปิดตัว iOS 13 ระบบปฏิบัติการสำหรับสมาร์ตโฟนเวอร์ชั่นใหม่ล่าสุด โดยเวอร์ชั่นนี้แอปเปิลยังคงเน้นไปที่ปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานให้เร็วกว่า iOS 12 ช่วยให้การเปิดแอปฯ รวดเร็วขึ้นกว่าเดิมถึง 2 เท่า ลดขนาดของแอปฯ ที่ดาวน์โหลด และปลดล็อกด้วย Face ID เร็วขึ้นกว่าเดิม 30% รวมถึงเพิ่ม Dark Mode ที่หลายคนรอคอย ช่วยปรับลุคใหม่ให้กับ iPhone และยังปรับปรุงแอปฯ แผนที่ใหม่ ปรับข้อมูลการแสดงผลที่ละเอียดและสวยงามขึ้นกว่าเดิม
Dark Mode ลุคใหม่ที่ดูโดดเด่นสำหรับ iPhone
อีกหนึ่งฟีเจอร์ที่แฟนแอปเปิลหลายคนรอคอย ล่าสุดก็ความฝันก็กลายเป็นจริง เมื่อแอปเปิลเพิ่ม Dark Mode มาแล้วใน iOS 13 ซึ่ง Dark Mode จะมาพร้อมโทนสีมืดแบบใหม่ที่ใช้งานได้ทั้งระบบและในแอปฯ ที่มาพร้อมเครื่องทั้งหมด และยังช่วยให้ทุกสิ่งทุกอย่างบนหน้าจอดูได้ชัดกว่าเดิมโดยเฉพาะในที่ที่มีแสงน้อย และยังเปิดให้นักพัฒนาแอปฯ ภายนอก สามารถพัฒนาแอปฯ ใช้กับ Dark Mode ได้ และ Dark Mode ยังสามารถตั้งให้เปิดทำงานโดยอัตโนมัติหลังพระอาทิตย์ตกดินหรือเวลาใดก็ได้
ปรับปรุงแอปฯ รูปภาพ (Photos) ค้นหาที่ง่ายกว่าเดิม และเครื่องมือแก้ไขที่ดีขึ้น
iOS 13 ได้ปรับปรุงระบบคัดเลือกไฮไลต์ภาพที่ดีที่สุดด้วย Machine Learning เพื่อจัดเรียงให้ง่ายต่อการดูและค้นหา รวมถึงซ่อนรูปภาพซ้ำในระบบให้อัตโนมัติ เพื่อไม่ให้รบกวนการดูภาพ และยังปรับปรุงเครื่องมือแก้ไขภาพถ่ายให้ใช้งานง่ายขึ้นกว่าเดิม รวมถึงเพิ่มเครื่องมือสำหรับแก้ไขวิดีโอ เช่น สามารถหมุน ครอบตัด หรือใส่ฟิลเตอร์จากแอปฯ รูปภาพ ได้เลย
นอกจากนี้ iOS 13 ยังเพิ่มการปรับแต่งการจัดแสงภาพถ่ายบุคคลลงในแอปฯ กล้องอีกด้วย โดยสามารถเลื่อนแสงให้เข้าใกล้ตัวแบบมากขึ้นได้แบบเสมือนจริงซึ่งจะช่วยให้ดวงตาดูคมชัดและใบหน้าของตัวแบบดูสว่างและเรียบเนียน หรือเลื่อนแสงให้ห่างออกไปเพื่อสร้างลุคที่ดูนุ่มนวล ไร้ที่ติ เอฟเฟกต์ High-Key Mono ใหม่ช่วยสร้างลุคที่ดูสวยงามในเฉดสีที่ใกล้เคียงกันสำหรับรูปภาพในโหมดภาพถ่ายบุคคล
Sign In with Apple ทั้งรวดเร็ว ง่ายดาย และเป็นส่วนตัว
รอบนี้แอปเปิลได้ให้ความสำคัญกับข้อมูลส่วนตัวมากขึ้น และได้เพิ่ม Sign In with Apple ระบบล็อกอินเพื่อเพิ่มความเป็นส่วนตัว เพียงแค่ใช้ Apple ID ก็สามารถยืนยันตัวตนได้แล้วโดยไม่ต้องใช้บัญชีโซเซียลมีเดีย กรอกแบบฟอร์ม ยืนยันความถูกต้องของอีเมลหรือเลือกรหัสผ่าน และ Apple จะช่วยปกป้องความเป็นส่วนตัวด้วยการมอบ ID แบบสุ่มที่ไม่ซ้ำกันให้แก่นักพัฒนา แม้แต่ในกรณีที่นักพัฒนาสอบถามชื่อและที่อยู่อีเมล ผู้ใช้ก็สามารถเลือกที่จะเก็บที่อยู่อีเมลไว้เป็นความลับแล้วให้ข้อมูลที่อยู่อีเมลแบบสุ่มที่ไม่ซ้ำกันไปแทนได้ Sign In with Apple ช่วยให้ผู้ใช้ยืนยันตัวตนได้อย่างง่ายดายผ่าน Face ID หรือ Touch ID และยังมีการตรวจสอบสิทธิ์สองปัจจัยในตัวเครื่องที่จะช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้ผู้ใช้อีกระดับด้วย Apple ไม่ได้ใช้ Sign In with Apple เพื่อเก็บข้อมูลลูกค้าหรือกิจกรรมในแอปฯ
แอปฯ แผนที่ยกเครื่องใหม่อีกครั้ง
แอปฯ แผนที่แบบใหม่จะครอบคลุมถนนหลายสายมากขึ้น มีข้อมูลทางเท้าที่ดีขึ้น ข้อมูลที่อยู่ที่แม่นยำกว่าเดิม และข้อมูลผืนดินแบบละเอียดยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังเพิ่มคุณสมบัติ Look Around ที่ขับเคลื่อนด้วยฐานแผนที่และรูปถ่าย 3 มิติ ที่มีความละเอียดสูงช่วยแสดงภาพมุมมองถนนสวยงามและต่อเนื่องลื่นไหลกว่าเดิม และยังมีฟีเจอร์อื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็น Collections ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถแชร์ ร้านอาหาร สถานที่ท่องเที่ยว หรือแหล่งช้อปปิ้งให้กับเพื่อนๆ ได้ และ Favorites สำหรับการนำทางไปยังจุดหมายปลายทางที่ไปบ่อย เช่น บ้าน ที่ทำงาน ยิม หรือโรงเรียนได้ทันทีด้วยการแตะจากหน้าแรกของแอปฯ
สำหรับแอปฯ แผนที่ใหม่พร้อมให้ใช้งานแล้วในเมืองและรัฐบางแห่ง และจะเปิดให้ใช้ทั่วทั้งสหรัฐอเมริกาภายในปี 2019 และปี 2020 สำหรับประเทศอื่น ๆ
การปรับปรุงอื่น ๆ ที่น่าสนใจใน iOS 13
เตือนความจำ (Reminders) ปรับปรุงโฉมใหม่ และมาพร้อมความสามารถที่ฉลาดขึ้นในการสร้างและแก้ไขรายการแจ้งเตือน รวมถึงการจัดระเบียบและติดตามรายการแจ้งเตือนได้หลากหลายวิธียิ่งขึ้น แถบเครื่องมือด่วนช่วยให้ผู้ใช้เพิ่มเวลา วันที่ สถานที่ และธงได้ง่ายขึ้น หรือจะเพิ่มเอกสารแนบก็ได้ นอกจากนี้ยังใช้งานร่วมกับแอปฯ ข้อความได้ดียิ่งขึ้น ผู้ใช้จะสามารถแท็กคนอื่นในการเตือนความจำได้อย่างง่ายดาย และรายการจะแสดงขึ้นมาเมื่อผู้ใช้ส่งข้อความหาผู้ที่อยู่ในแท็ก
ข้อความ (Messages) สามารถแชร์ชื่อและรูปภาพของผู้ใช้ รวมถึง Memoji หรือ Animoji แบบปรับแต่งได้โดยอัตโนมัติ เพื่อช่วยให้ระบุได้ทันทีว่าใครอยู่ในบทสนทนาบ้าง Memoji ถูกเปลี่ยนให้เป็นชุดสติ๊กเกอร์ที่มาพร้อมคีย์บอร์ด iOS โดยอัตโนมัติ จึงใช้งานได้ในแอปฯ ข้อความ เมล และแอปฯ อื่น ๆ Memoji ยังมาพร้อมทรงผมใหม่ เครื่องประดับศีรษะ เครื่องสำอาง เครื่องประดับและการเจาะร่างกายแบบต่าง ๆ
Siri มาพร้อมเสียงใหม่ที่เป็นธรรมชาติมากขึ้นและคำสั่งลัด Siri รองรับ Suggested Automations แล้ว คุณสมบัตินี้จะช่วยแนะนำกิจวัตรประจำวันที่ปรับแต่งให้เป็นส่วนตัวมากขึ้น เช่น การเดินทางไปทำงานหรือไปยิม
CarPlay ได้รับการอัปเดตแดชบอร์ดใหม่ครั้งใหญ่ที่สุด ซึ่งตอนนี้สามารถดูเพลง แผนที่ และอีกมากมายได้แล้วในมุมมองเดียว อีกทั้งยังมีแอปฯ ปฏิทินใหม่และการรองรับ Siri สำหรับการนำทางและแอปฯ ฟังเพลงของบริษัทอื่นอีกด้วย
HomePod สามารถแยกแยะเสียงของผู้ใช้จากเสียงของคนอื่น ๆ ในบ้านได้แล้ว จึงสามารถทำตามคำขอแบบส่วนบุคคลได้ รวมถึงการส่งข้อความ การฟังเพลง และอื่น ๆ รายการวิทยุสดให้ Siri เข้าถึงสถานีวิทยุกว่า 100,000 สถานีจาก iHeartRadio, radio.com และ TuneIn นอกจากนี้ยังมีตัวตั้งเวลาหยุดเล่นใหม่ที่จะช่วยปิดเพลงตามเวลาที่กำหนดไว้ได้ Handoff ช่วยให้ผู้ใช้ย้ายเพลง พ็อดคาสต์ หรือการสนทนาทางโทรศัพท์ไปยัง HomePod เมื่อกลับถึงบ้านได้อย่างง่ายดาย
AirPods ช่วยให้ Siri อ่านข้อความที่เข้ามาได้ทันทีจากแอปฯ ข้อความที่มาพร้อมเครื่องหรือแอปฯ ข้อความอื่น ๆ ที่ใช้งานร่วมกับ Siri Kit ได้ คุณสมบัติการแชร์เสียงใหม่ช่วยให้ผู้ใช้ชมภาพยนตร์หรือแชร์เพลงกับเพื่อนได้อย่างง่ายดายเพียงแค่นำหูฟังอีกคู่มาไว้ใกล้ ๆ กับ iPhone หรือ iPad
การควบคุมด้วยเสียง (Voice Control) ปรับปรุงใหม่ให้ผู้ใช้สามารถควบคุม iPhone, iPad หรือ Mac ด้วยเสียงเพียงอย่างเดียวได้แล้ว นอกจากนี้ เทคโนโลยีการรู้จำคำพูดใหม่ล่าสุดของ Siri ซึ่งเป็นตัวขับเคลื่อนคุณสมบัตินี้ยังช่วยให้ผู้ใช้ถอดเสียงและแก้ไขข้อความได้แม่นยำยิ่งกว่าเดิม
โน้ต (Notes) มาพร้อมมุมมองแกลลอรี่ใหม่ การผสานรวมกับโฟลเดอร์ที่แชร์อย่างทรงพลังยิ่งกว่าเดิม รวมถึงเครื่องมือค้นหาและตัวเลือกรายการตรวจสอบใหม่
QuickPath ช่วยให้การพิมพ์แบบมือเดียวบนคีย์บอร์ด iOS เป็นไปอย่างง่ายดายด้วยการปัดนิ้วผ่านตัวอักษรของคำที่ต้องการพิมพ์
การแก้ไขตัวอักษร (Text Editing) ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ช่วยให้ผู้ใช้เลื่อนเอกสาร ขยับเคอร์เซอร์ และเลือกตัวอักษรที่ต้องการแก้ไขได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น
แอปฯ ไฟล์ (Files) มาพร้อมความสามารถในการแชร์โฟลเดอร์กับ iCloud Drive และการเข้าถึงไฟล์จากอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลภายนอกอย่างการ์ด SD และแฟลชไดร์ฟ USB
โหลดไฟล์ขนาดใหญ่กว่า 200MB ผ่านเน็ตมือถือ iOS 13 สามารถเลือกดาวน์โหลดแอปฯ ขนาดใหญ่กว่า 200MB บน App Store เมื่อเชื่อมต่อผ่านเน็ตมือถือได้แล้ว
สุขภาพ (Health) ช่วยให้ผู้ใช้ติดตามสุขภาพการได้ยินและเพิ่มวิธีใหม่ ๆ ในการติดตาม แสดงผลด้วยภาพ และคาดการณ์รอบการมีประจำเดือนของผู้หญิงได้
บริการหาตำแหน่งที่ตั้ง (Location Services) มาพร้อมการควบคุมใหม่ที่ช่วยให้ผู้ใช้มีตัวเลือกเพิ่มเติมในการแชร์ตำแหน่งที่ตั้งกับแอปฯ รวมถึงตัวเลือกใหม่ในการแชร์ตำแหน่งที่ตั้งแบบหนึ่งครั้ง และข้อมูลเพิ่มเติมเมื่อแอปฯ กำลังใช้งานตำแหน่งที่ตั้งอยู่เบื้องหลัง
การปรับปรุงประสิทธิภาพเพิ่มเติมทำให้ทั้งระบบตอบสนองได้รวดเร็วขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการปลดล็อกด้วย Face ID ที่รวดเร็วกว่าเดิม และวิธีการจัดแพ็กเกจแอปฯ iPhone แบบใหม่บน App Store ที่ช่วยให้ขนาดดาวน์โหลดของแอปฯ ลดลงถึง 50% ช่วยให้การอัปเดตแอปฯ เล็กลงกว่า 60% ซึ่งส่งผลให้การเปิดแอปฯ เร็วขึ้นถึง 2 เท่าอีกด้วย
อุปกรณ์ที่รองรับการอัปเดต iOS 13
- iPhone XS
- iPhone XS Max
- iPhone XR
- iPhone X
- iPhone 8
- iPhone 8 Plus
- iPhone 7
- iPhone 7 Plus
- iPhone 6s
- iPhone 6s Plus
- iPhone SE
- iPod touch (7th generation)
- iPad Pro 12.9 นิ้ว
- iPad Pro 11 นิ้ว
- iPad Pro 10.5 นิ้ว
- iPad Pro 9.7 นิ้ว
- iPad (6th generation)
- iPad (5th generation)
- iPad mini 5 (5th generation)
- iPad mini 4
- iPad Air (3rd generation)
- iPad Air 2
อุปกรณ์ที่ไม่รองรับการอัปเดต iOS 13
- iPhone 5s
- iPhone 6
- iPhone 6 Plus
- iPod touch 6th Gen
- iPad mini 2
- iPad mini 3
- iPad Air รุ่นแรก
ทั้งนี้ iOS 13 เวอร์ชั่น Beta สำหรับนักพัฒนาสามารถดาวน์โหลดได้แล้วตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ส่วนเวอร์ชั่น Public Beta จะปล่อยให้ผู้ใช้ทั่วไปทดลองในเดือนกรกฎาคม 2562 และเวอร์ชั่นเต็มจะปล่อยให้อัปเดตพร้อมกันทั่วโลกก่อนสิ้นปี 2019 หลังจากเปิดตัว iPhone รุ่นใหม่
ภาพจาก Apple