10 มือถือน่าซื้อน่าใช้ในงาน Thailand Mobile Expo 2019 รอบกลางปี วันที่ 30 พฤษภาคม - 2 มิถุนายน 2562 ที่ไบเทค บางนา เช็กเลย มือถือน่าซื้อในงาน Mobile Expo 2019
เปิดฉากอีกครั้งกับ Thailand Mobile Expo 2019 งานมหกรรมโทรศัพท์มือถือที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทย รอบกลางปี 2019 จะจัดขึ้นวันที่ 30 พฤษภาคม - 2 มิถุนายน 2562 ที่ไบเทค บางนา ภายในงานยังคงคึกคักด้วยมือถือรุ่นใหม่ ๆ ที่ขนกันมาวางจำหน่าย รวมถึงแก็ดเจ็ตสุดล้ำที่มีให้ได้ชมกันอย่างมากมาย และพลาดไม่ได้กับโปรโมชั่นเด็ด ลด แลก แจก แถม กันเหมือนเช่นเคย
สำหรับใครที่กำลังจะซื้อมือถือใหม่ หรือตัดสินใจไม่ถูกไม่รู้ว่าจะเลือกซื้อรุ่นไหนดี วันนี้กระปุกดอทคอมขอแนะนำ 10 มือถือน่าซื้อในงาน Thailand Mobile Expo 2019 รอบกลางปี มีให้เลือกหลายราคา และอย่าลืมว่ามือถือที่ซื้อภายในงานมีโปรโมชั่นพร้อมของแถมอีกมากมาย ส่วนจะมีรุ่นไหนบ้าง มาติดตามกันเลย
ประเดิมรุ่นแรกกับมือถือเจ้าของฉายานักฆ่าเรือธง (Flagship Killer) มือถือเรือธงรุ่นใหม่ สเปกจัดเต็มเหมือนเดิม พร้อมปรับโฉมดีไซน์ให้ดูสวยงามและพรีเมียมกว่าเดิม เริ่มต้นที่ OnePlus 7 Pro ที่เป็นรุ่นเด่นสุด มาพร้อมหน้าจอใหญ่ไร้ติ่งขนาด 6.67 นิ้ว ใช้หน้าจอแบบใหม่ Fluid AMOLED ความละเอียด Quad HD+ มีอัตรารีเฟรช 90Hz และหน้าจอของ OnePlus 7 Pro ยังได้คะแนนที่ระดับ A+ ระดับเดียวกับ Galaxy S10+ และ Pixel 3 XL จาก DisplayMate
ด้านสเปกใช้ซีพียูยอดฮิต Snapdragon 855 แรม 6GB/8GB/12GB, หน่วยความจำ 128GB/256GB (UFS 3.0), ระบบระบายความร้อนด้วยของเหลว 10 ชั้น, รัน Android 9.0 (Pie) ครอบทับด้วย OxygenOS 9.0, แบตเตอรี่ 4,000mAh รองรับ Warp Charge 30 สามารถชาร์จแบตเตอรี่ 0 ถึง 48% ในเวลา 20 นาที, ลำโพงคู่สเตอริโอพร้อมระบบเสียง Dolby Atmos และมีสแกนนิ้วมือบนหน้าจอที่มีความรวดเร็วโดยใช้เวลาในการปลดล็อกแค่ 0.21 วินาที
ราคา
- รุ่นแรม 6GB + 128GB ราคา 24,990 บาท
- รุ่นแรม 8GB + 128GB ราคา 26,990 บาท
- รุ่นแรม 12GB + 256GB ราคา 29,990 บาท
สำหรับใครที่อยากได้มือถือที่เป็นเพียวแอนดรอยด์ต้องรุ่นนี้เลย โดยรุ่นนี้เป็นมือถือระดับกลาง Android One รุ่นใหม่ และเป็นมือถือรุ่นแรกของ Motorola ที่มีดีไซน์ดูแตกต่างไปจากรุ่นก่อน ๆ โดยรุ่นนี้มาพร้อมหน้าจอเจาะรูขนาด 6.3 นิ้ว แบบ CinemaVision ที่มีอัตราส่วน 21:9 พร้อมกล้องหลังคู่ความละเอียดสูงสุด 48 ล้านพิกเซล ตามสมัยนิยม และกล้องหน้า 25 ล้านพิกเซล มีสแกนลายนิ้วมือที่ด้านหลัง รวมถึงรัน Android 9.0 Pie ที่การันตีการอัปเดตซอฟต์แวร์เวอร์ชั่นล่าสุดจาก Google เป็นระยะเวลา 2 ปี และอัปเดตความปลอดภัยเป็นระยะเวลา 3 ปี
จุดเด่นของ Motorola One Vision นอกจากจะเป็นมือถือเพียวแอนดรอยด์แล้ว เรื่องของกล้องยังปรับปรุงให้ดีกว่ารุ่นก่อน ๆ โดยมีกล้องหน้า 25 ล้านพิกเซล ขนาดพิกเซล 1.8µm เทคโนโลยี Quad Pixel ที่ช่วยให้การถ่ายภาพเซลฟี่ในที่แสงน้อยได้ดีขึ้น ส่วนกล้องหลังคู่ 48 ล้านพิกเซล พร้อมโหมด Night Vision, กันสั่น OIS, มีเทคโนโลยี Quad Pixel, ขนาดพิกเซล 1.6µm สามารถถ่ายภาพความละเอียดสูง 12 ล้านพิกเซล กล้องตัวที่สอง 5 ล้านพิกเซล, ดีไซน์ตัวเครื่องแบบ 4D ใช้กระจก Corning Gorilla Glass ไล่เฉดสีสวยงาม พร้อมแบตเตอรี่ 3,500mAh ที่เคลมว่าสามารถใช้งานได้เต็ม ๆ วัน และยังรองรับชาร์จเร็ว 15 วัตต์ TurboPower ชาร์จ 15 นาที ใช้งานได้นาน 7 ชั่วโมง
ราคา 9,990 บาท
3. Vivo Y17
หากเบื่อการชาร์จแบตเตอรี่บ่อย ๆ ต้องรุ่นนี้ มือถือซีรีส์ Y รุ่นใหม่ มาพร้อมสเปกสุดคุ้มกับราคาไม่เกิน 10,000 บาท ด้านสเปกมีหน้าจอขนาด 6.35 นิ้ว LCD ความละเอียด HD+, Halo FullView Display (ติ่งหยดน้ำ), อัตราส่วน 19.3:9, คิดเป็นพื้นที่ใช้งาน 89%, ซีพียู MediaTek Helio P35, แรม 4GB, หน่วยความจำ 128GB, รัน Android 9.0 ครอบทับด้วย Funtouch OS 9, ตัวเครื่องดีไซน์ไล่เฉดสีตามสมัยนิยม มีให้เลือก 2 สี คือ สีฟ้า (Mineral Blue) และสีม่วง (Mystic Purple) แบตเตอรี่ 5,000mAh รองรับชาร์จเร็ว 18 วัตต์ Dual-Engine Fast Charging กล้องหลัง 3 เลนส์ (AI Triple Camera) แบ่งเป็นเลนส์หลัก 13 ล้านพิกเซล + 8 ล้านพิกเซล เลนส์มุมกว้าง 120 องศา (Super Wide-Angle) + 2 ล้านพิกเซล (Depth) ส่วนกล้องหน้า 20 ล้านพิกเซล พร้อม AI Face Beauty
ราคา 6,999 บาท
แบรนด์ลูกของ Huawei ที่มีสเปกโดดเด่นไม่แพ้แบรนด์แม่ สำหรับรุ่นนี้เป็นมือถือระดับกลาง สเปกและดีไซน์เหมือนกับ Honor 20i ที่เปิดในประเทศจีน ด้านสเปกมาพร้อมหน้าจอ 6.21 นิ้ว ความละเอียด Full HD+ คิดเป็นพื้นที่ใช้งาน 90%, ซีพียู Kirin 710, แรม 4GB, หน่วยความจำ 128GB, รัน Android 9.0 (Pie) ครอบทับด้วย EMUI 9.0, กล้องหลัง 3 ตัว แบ่งเป็นกล้องหลัก 24 ล้านพิกเซล + 2 ล้านพิกเซล + 8 ล้านพิกเซล เลนส์มุมกว้าง 120 องศา กล้องหน้า 32 ล้านพิกเซล พร้อม AI beautify ดีไซน์ตัวเครื่องไล่เฉดสีสวยงาม พร้อมสแกนลายนิ้วมือที่ด้านหลัง และใช้แบตเตอรี่ 3,400mAh
ราคา 7,990 บาท
5. Realme 3 Pro
เป็นอีกแบรนด์ที่โดดเด่นมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของราคาหรือสเปก สำหรับรุ่นนี้เป็นมือถือที่สานต่อจาก Realme 2 Pro อัปเกรดสเปก ปรับดีไซน์และสีสันของตัวเครื่องใหม่ มาพร้อมหน้าจอทรงหยดน้ำตามสมัยนิยม Dewdrop Full Screen ขนาด 6.3 นิ้ว ความละเอียด Full HD+ มีพื้นที่การใช้งาน 90.8%, กระจก Corning Gorilla Glass 5, ซีพียู Snapdragon 710 AIE, แรมสูงสุด 6GB พร้อม Hyperboost 2.0 สำหรับสายเกมมิ่ง กล้องหลัง 16 + 5 ล้านพิกเซล ใช้เซ็นเซอร์ Sony IMX519, รูรับแสง f/1.7, รองรับ AI scene recognition, ถ่ายภาพความละเอียดสูงสุด 64 ล้านพิกเซล (Ultra HD mode), กล้องหน้า 25 ล้านพิกเซล ใช้เทคโนโลยี Super Pixel 4-in-1 รองรับ AI Selfie
ราคา 6,999 บาท (แรม 4GB + 64GB), 8,999 บาท (แรม 6GB + 128GB)
6. OPPO F11
มือถือกล้องหน้าโนป๊อปอัพรุ่นเล็กรองจาก OPPO F11 Pro มาพร้อมหน้าจอ 6.5 นิ้ว ความละเอียด Full HD+, ติ่งทรงหยดน้ำ, มีสัดส่วนพื้นที่การใช้งาน 90.7%, กล้องหน้า 16 ล้านพิกเซล ซีพียู MediaTek Helio P70 12nm, แรมสูงสุด 6GB, หน่วยความจำ 64GB/128GB, รัน Android 9.0 (Pie) ครอบทับด้วย ColorOS 6.0, กล้องหลังคู่ 48 + 5 ล้านพิกเซล พร้อมโหมด Ultra Night, Dazzle Color, AI Engine และ Ultra-clear Engine ที่สามารถถ่ายภาพ Portrait ได้ แม้อยู่ในที่แสงน้อย ส่วนแบตเตอรี่มีความจุ 4,020mAh รองรับ VOOC Flash Charge 3.0
ราคา 8,990 บาท (แรม 4GB + 128GB)
7. OPPO A5s
มือถือราคาประหยัดอีกรุ่นของ OPPO โดยรุ่นนี้เป็นมือถือระดับกลางซีรีส์ A ที่สานต่อจาก OPPO A5 มาพร้อมหน้าจอ 6.2 นิ้ว ความละเอียด HD+ ติ่งทรงหยดน้ำ (Waterdrop Screen), อัตราส่วน 19:9, กล้องหลังคู่ 13 + 2 ล้านพิกเซล, กล้องหน้า 8 ล้านพิกเซล พร้อม AI Beautification 2.0 และ AR Stickers, แบตเตอรี่ 4,230mAh, ซีพียู MediaTek Helio P35 แทน Snapdragon 450, แรมสูงสุด 4GB, หน่วยความจำ 32GB/64GB และรัน Android 8.1 (Oreo) ครอบทับด้วย ColorOS 5.2
ราคา 4,999 บาท
มือถือซีรีส์ Galaxy A ที่น่าสนใจอีกรุ่น โดยรุ่นนี้ใช้หน้าจอ Infinity U เหมือนกับรุ่น A50 และ A30 รวมถึงดีไซน์แบบ 3D Glasstic ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ แต่ในส่วนของสเปกนั้นถูกอัปให้แรงขึ้น พร้อมกล้องหลัง 3 ตัว ความละเอียดสูงสุด 32 ล้านพิกเซล และกล้องหน้า 32 ล้านพิกเซล ถือเป็นมือถือรุ่นแรกของ Samsung ที่มีกล้องหน้าและกล้องหลังความละเอียดสูง ด้านสเปกมีหน้าจอ 6.7 นิ้ว Infinity-U หรือติ่งทรงหยดน้ำ อัตราส่วน 20:9 ดีไซน์สีสันตัวเครื่องไล่เฉดสวยงาม มีให้เลือกทั้งหมด 4 สี ได้แก่ สีดำ, สีฟ้า, สีขาว และสีส้ม Coral ที่เป็นสียอดฮิตของปีนี้ ใช้ซีพียูไม่ระบุรุ่น แต่น่าจะเป็น Snapdragon 675 Octa-Core (Dual 2.0GHz + Hexa 1.7GHz), แรม 6GB/8GB, หน่วยความจำ 128GB, รองรับ microSD, รัน Android 9.0 (Pie) และแบตเตอรี่ 4,500mAh รองรับ Super-Fast Charging 25 วัตต์
ราคา 15,990 บาท (แรม 8GB + 128GB)
9. Vivo V15 Pro
มือถือกล้องหน้าป๊อปอัพรุ่นแรกของวงการ มีการปรับราคาใหม่อีกครั้ง พร้อมกับนำรุ่นแรม 8GB + หน่วยความจำ 128GB เข้ามาวางจำหน่ายในไทยเรียบร้อย สำหรับรุ่นนี้มีกล้องหน้าป๊อปอัพความละเอียด 32 ล้านพิกเซล (Pop-up Selfie) ทาง Vivo เคลมว่าสามารถเปิดใช้งานได้เร็วแค่ 0.46 วินาที และมีความแข็งแรงทนต่อแรงดึงและแรงบิดสูงสุดถึง 120 กิโลกรัม และผ่านการทดสอบกว่า 300,000 ครั้ง นอกจากนี้ยังมาพร้อมกล้องหลัง 3 เลนส์ ตามสมัยนิยม โดยแบ่งออกเป็น 48 ล้านพิกเซล + 8 ล้านพิกเซล + 5 ล้านพิกเซล พร้อม dual-tone LED flash และยังมีสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ แน่นอนรุ่นนี้หน้าจอไม่มีติ่ง รอยบาก มากวนใจ เพราะกล้องหน้าถูกซ่อนอยู่ในรูปแบบป๊อปอัพ
สเปกมีหน้าจอขนาด 6.39 นิ้ว ความละเอียด Full HD+ Super AMOLED ขอบด้านบนบาง 2.2 มม. และขอบด้านล่างบาง 1.75 มม. คิดเป็นพื้นที่ใช้งาน 91.64% ใช้ซีพียู Snapdragon 675 AIE, แรม 6GB, หน่วยความจำ 128GB, ตัวเครื่องมีดีไซน์แบบ Spectrum Ripple Design เป็นการผสมผสานกันระหว่างการไล่เฉดสี และลวดลายต่าง ๆ บนตัวเครื่อง พร้อมแบตเตอรี่ 3,700mAh รองรับระบบชาร์จเร็ว Dual-Engine
ราคา 14,999 บาท (แรม 8GB + 128GB), 13,999 บาท (แรม 6GB + 128GB)
10. Xiaomi Mi 9
ปิดท้ายกันด้วยมือถือยอดฮิตอีกรุ่นจาก Xiaomi มือถือเรือธงประจำปี 2019 ยังคงคอนเซ็ปต์มือถือสเปกจัดเต็ม ฟีเจอร์อัดแน่น ในราคาที่คุ้มค่าเหมือนเดิม ด้านสเปกมีหน้าจอ 6.39 นิ้ว ความละเอียด Full HD+ Super AMOLED กระจก Corning Gorilla Glass 6 ติ่งทรงหยดน้ำ คิดเป็นพื้นที่ใช้งาน 90.7% ขอบด้านล่างเล็ก 3.6 มม. แคบลงกว่า Mi 8 ถึง 40% ใช้ซีพียูรุ่นใหม่ Snapdragon 855 ผลิตที่ 7 นาโนเมตร พร้อม Game Turbo และ real-time CPU/GPU/FPS monitoring, แรมสูงสุด 8GB รัน Android 9.0 (Pie) ครอบทับด้วย MIUI 10
นอกจากนี้ยังเป็นมือถือรุ่นแรกของ Xiaomi ที่มีกล้องหลัง 3 ตัว (48MP+12MP+16MP) โดยกล้องหลักมีความละเอียดสูงถึง 48 ล้านพิกเซล ใช้เซ็นเซอร์ Sony IMX586 พร้อม Laser Autofocus, Phase Detection Auto focus (PDAF) และ Contrast Detection Autofocus (CAF), closed-loop Voice Coil Motor (VCM) for improved auto-focusing, กล้องตัวที่สอง 12 ล้านพิกเซล เซ็นเซอร์ Samsung S5K3M5 (Telephoto) รองรับการซูม 2 เท่า และกล้องตัวที่สาม 16 ล้านพิกเซล เซ็นเซอร์ Sony IMX481 เลนส์มุมกว้าง 117 องศา และกล้องของรุ่นนี้ยังได้รับคะแนนการถ่ายภาพจาก DxOMark ถึง 112 คะแนน คะแนนวิดีโอ 99 คะแนน ส่วนคะแนนรวมอยู่ที่ 107 คะแนน ทำให้ Xiaomi Mi 9 ขึ้นเป็นมือถือกล้องดีที่สุดเป็นอันดับ 4 ของโลก
ราคา 16,999 บาท (แรม 6GB + 128GB)
10 มือถือน่าซื้อในงาน Thailand Mobile Expo 2019 รอบต้นปี
หมายเหตุ: ราคามือถืออาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ขึ้นอยู่กับร้านที่วางจำหน่าย อย่าลืมสอบถามราคาล่าสุดก่อนซื้อทุกครั้ง