แนะนำมือถือกล้องหลัง 4 ตัว (Quad Camera) ปี 2019 มีแบรนด์มือถือไหนที่ออกมือถือกล้องหลัง 4 ตัว มาบ้าง ใครที่กำลังมองหามือถือกล้อง 4 ตัว เช็กเลย มีรุ่นไหนบ้าง
เทรนด์มือถือปี 2019 นอกจากจะพูดถึงเรื่องเทคโนโลยี 5G แล้ว เรื่องของกล้องบนมือถือในปีนี้ก็ถือว่าเป็นอีกเรื่องที่สำคัญ และมีการพัฒนาไปอีกขั้น โดยในปีนี้เราจะเห็นมือถือที่มีกล้องหลัง 3 ตัว หรือ 4 ตัว ออกสู่ตลาดเพิ่มมากขึ้น สำหรับใครที่กำลังมองหามือถือที่มีกล้องหลัง 4 ตัว ในปี 2019 มีแบรนด์ไหนเปิดตัวมือถือแบบนี้ออกมาบ้าง หลังจากแนะนำมือถือกล้องหลัง 3 ตัว (Triple Camera) ปี 2019 วันนี้กระปุกดอทคอมได้รวบรวมมือถือที่มีกล้องหลัง 4 ตัว มาแนะนำกันบ้าง มาดูกันว่ามีรุ่นไหนให้เลือกซื้อกัน
1. Huawei nova 5 และ nova 5 Pro
มือถือซีรีส์ nova รุ่นใหม่ เปิดตัวพร้อมกัน 2 รุ่น คือ nova 5 Pro และ nova 5 ที่มาพร้อมซีพียู Kirin 810 เป็นรุ่นแรกของ Huawei โดยทั้ง 2 รุ่นนี้มีสเปกบางส่วนเหมือนกัน รวมถึงดีไซน์ตัวเครื่อง ส่วนที่แตกต่างจะเป็นซีพียูและหน่วยความจำ สำหรับรุ่น Huawei nova 5 จะใช้ซีพียู Kirin 810 เป็นรุ่นแรกของ Huawei ส่วน Huawei nova 5 Pro จะใช้ซีพียู Kirin 980 ตัวเดียวกับ Huawei P30 Pro และหน่วยความจำ 256GB
ด้านสเปกมีหน้าจอขนาด 6.39 นิ้ว OLED ความละเอียด Full HD+ ติ่งทรงหยดน้ำ (dewdrop notch display), รัน Android 9.0 (Pie) ครอบทับด้วย EMUI 9.1, กล้องหลัง Leica 4 เลนส์ ประกอบด้วย กล้อง 48 ล้านพิกเซล + 16 ล้านพิกเซล เลนส์มุมกว้าง + 2 ล้านพิกเซล เลนส์มาโคร 4 เซนติเมตร + 2 ล้านพิกเซล สำหรับถ่าย Portrait, กล้องหน้า 32 ล้านพิกเซล
ราคาประมาณ 12,690 บาท (nova 5), 13,590 บาท (nova 5 Pro)
Huawei nova 5i หรือ Huawei P20 Lite (2019) ที่วางขายอยู่ในตลาดมือถือยุโรป มีดีไซน์และสเปกบางส่วนเหมือนกัน มาพร้อมหน้าจอ 6.4 นิ้ว ความละเอียด Full HD+ คิดเป็นพื้นที่ใช้งาน 90.8%, กล้องหน้าบนหน้าจอ 24 ล้านพิกเซล, ซีพียู Kirin 710, แรมสูงสุด 8GB, รัน Android Pie ครอบทับด้วย EMIUI 9.1, กล้องหลัง 4 ตัว แบ่งเป็นกล้องหลัก 24 ล้านพิกเซล, 8 ล้านพิกเซล เลนส์มุมกว้าง (Ultra-wide), 2 ล้านพิกเซล เลนส์ 4cm macro และ 2 ล้านพิกเซล สำหรับถ่าย Portrait, ดีไซน์ไล่เฉดสีเป็นรูปตัว S, มีสแกนลายนิ้วมือที่ด้านหลัง และแบตเตอรี่ความจุ 4,000mAh
ราคาประมาณ 8,900 บาท
มือถือเรือธงซีรีส์ P รุ่นใหม่ ประจำปี 2019 ต้องบอกว่ารอบนี้ Huawei จัดหนักจัดเต็มเรื่องกล้องทิ้งห่างคู่แข่งไปอีกก้าว และยังคงร่วมมือกับ Leica เหมือนเดิม มีกล้องหลัง 4 ตัว (Leica Quad Camera) เซ็นเซอร์ Super Spectrum, กล้องหลัก 40 ล้านพิกเซล (เลนส์มุมกว้าง, รูรับแสง f/1.6, ระบบป้องกันภาพสั่นไหว) + 20 ล้านพิกเซล (เลนส์มุมกว้างพิเศษ, รูรับแสง f/2.2) + 8 ล้านพิกเซล (เทเลโฟโต้, รูรับแสง f/3.4, ระบบป้องกันภาพสั่นไหว), กล้อง Time-of-Flight (TOF), รองรับการโฟกัสอัตโนมัติ (โฟกัสเลเซอร์, โฟกัสเฟส, โฟกัสคอนทราสต์), รองรับ AIS (ระบบป้องกันภาพสั่นไหวปัญญาประดิษฐ์ของ Huawei), เลนส์ SuperZoom, รองรับการซูม 5 เท่า Optical Zoom, 10 เท่า Hybrid zoom และ 50 เท่า Digital zoom
นอกจากนี้ P30 Pro สามารถเร่งค่า ISO ได้อีกถึง 409,600 เทียบกับกล้องระดับโปรอย่าง Canon 5D Mark IV ที่มีค่า ISO สูงสุดอยู่ที่ 102,400 ทำให้ทั้ง P30 และ P30 Pro ถ่ายภาพในที่มืดสนิทได้อย่างดีเยี่ยม
ราคา 31,990 บาท
Honor (แบรนด์ลูกของ Huawei) ต้องบอกว่าทั้งสเปกและกล้องไม่น้อยหน้าจัดเต็มเหมือน Huawei P30 และ Huawei P30 Pro โดยจุดเด่นของทั้ง 2 รุ่น อยู่ที่หน้าจอใหญ่ 6.26 นิ้ว ความละเอียด Full HD+ แบบ All-View display (เจาะรูฝังกล้องหน้า) มีสัดส่วนพื้นที่การใช้งาน 91.7% ซีพียู Kirin 980 พร้อม Dual NPU และ GPU Turbo 3.0 พร้อมเทคโนโลยี Graphene Cooling Sheet ช่วยระบายความร้อนดีขึ้น 27% มีแรม 6GB/8GB, หน่วยความจำ 128GB/256GB มีสแกนลายนิ้วมือที่ด้านข้างตัวเครื่อง และกล้องหน้า 32 ล้านพิกเซล f/2.0 พร้อมโหมด 3D Portrait Lighting
กล้องหลัง 4 ตัว กล้องหลัก 48 ล้านพิกเซล เซ็นเซอร์ 1/2″ Sony IMX586, 4-in-1 Light Fusion (ขนาดพิกเซล 1.6μm), มีค่ารูรับแสงกว้างสุดในโลก f/1.4 ช่วยให้รับแสงได้มากขึ้นถึง 50%, ปรับ ISO ได้สูงสุด 204800, กันสั่น 4 แกน OIS, EIS, PDAF, Laser auto focus, กล้องตัวที่ 2 ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล เลนส์มุมกว้าง 117 องศา (Ultra Wide Angle), กล้องตัวที่ 3 ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล (Telephoto) พร้อมกันสั่น 4 แกน OIS, ซูม 3 เท่า แบบ Optical และ 5 เท่า แบบ Hybrid และซูม Digital ได้สูงสุด 30 เท่า, กล้องตัวที่ 4 ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล เป็นเลนส์ Macro 4 เซนติเมตร นอกจากนี้ Honor 20 Pro ยังได้คะแนนทดสอบจาก DxOmark ถึง 111 คะแนน เท่ากับ OnePlus 7 Pro
ราคาประมาณ 17,900 บาท
มือถือเรือธงสเปกโหดจาก Lenovo จัดเต็มทั้งสเปก กล้อง และฟีเจอร์แบบครบครัน มาพร้อมหน้าจอ 6.39 นิ้ว AMOLED ความละเอียด Full HD+ อัตราส่วน 19.5:9 ติ่งทรงหยดน้ำ รองรับ HDR10 และ DCI-P3 รวมถึงระบบสแกนนิ้วมือบนหน้าจอ ดีไซน์ตัวเครื่องใช้วัดสุโลหะกับกระจก มีความเงางามและไล่เฉดสีสวยดูสะดุดตา รุ่นนี้ใช้ซีพียู Snapdragon 855 มีโหมด Game Turbo ที่จะช่วยเข้ามาจัดการในเรื่องของการเล่นเกมให้ลื่นไหล และยังมีระบบระบายความร้อน Liquid Cooling มีแรมสูงสุด 12GB หน่วยความจำสูงสุด 512GB รัน Android 9.0 (Pie) ครอบทับด้วย ZUI 11 พร้อมแบตเตอรี่ 4,000mAh รองรับการชาร์จเร็ว 27 วัตต์ ชาร์จแค่ 15 นาที เล่นเกมได้นาน 2 ชั่วโมง
กล้องหลัง 4 ตัว แบ่งเป็นกล้องหลัก 48 ล้านพิกเซล + เลนส์มุมกว้าง 125 องศา 16 ล้านพิกเซล + 8 ล้านพิกเซล เลนส์ Telephoto + 2 ล้านพิกเซล สำหรับวิดีโอและเป็นเลนส์ Super Macro ระยะ 2.39 ซม., มีกันสั่น OIS, gyroscope 6 แกน, Laser Autofocus, และยังมีกล้อง ToF กับ PDAF ทำงานร่วมกับ AI เพื่อประสิทธิภาพในการถ่ายวิดีโอได้ดีขึ้น ส่วนกล้องหน้า 32 ล้านพิกเซล นอกจากนี้ยังมีโหมด Hyper Video ที่สามารถถ่ายวิดีโอกล้องหน้าและกล้องหลังพร้อมกัน ทำให้สามารถถ่ายวิดีโอที่เก็บได้ทุกมุมมอง ทุกการเคลื่อนไหว
ราคาประมาณ 13,900 บาท
มือถือเรือธงรุ่นแรกของ Samsung ที่รองรับ 5G และเป็นมือถือที่มีกล้องหลัง 4 ตัว กล้องหน้าคู่ ทำให้กลายเป็นมือถือที่มีกล้องรวมกันทั้งหมด 6 ตัว ด้านสเปกมีหน้าจอขนาด 6.7 นิ้ว ความละเอียด Quad HD+ Curved Dynamic AMOLED, อัตราส่วน 19:9, (505ppi), ซีพียู Snapdragon 855/Exynos 9820, แรม 8GB, หน่วยความจำ 256GB, ไม่รองรับ microSD, รองรับซิมเดียว และแบตเตอรี่ 4,500mAh รองรับ Super Fast Charging, Fast Wireless Charging 2.0 และ Wireless PowerShare กล้องหน้าคู่ 10 ล้านพิกเซล, Dual Pixel AF, F1.9, เลนส์มุมกว้าง 80 องศา + เลนส์ 3D Depth
กล้องหลัง 4 เลนส์ พร้อม Dual OIS แบ่งออกเป็น
– เลนส์ Telephoto : 12 ล้านพิกเซล, PDAF, F2.4, กันสั่น OIS, เลนส์มุมกว้าง 45 องศา
– เลนส์ Wide-angle : 12 ล้านพิกเซล, Super Speed Dual Pixel AF, F1.5/F2.4, กันสั่น OIS, เลนส์มุมกว้าง 77 องศา
– เลนส์ Ultra Wide : 16 ล้านพิกเซล, FF, F2.2, เลนส์มุมกว้าง 123 องศา
– เลนส์ 3D Depth : hQVGA
– รองรับการซูม 0.5/2 เท่า Optical zoom, ซูม 10 เท่า แบบ Digital zoom
ราคาประมาณ 38,800 บาท