แนะนำวิธีประหยัดแบตเตอรี่ iPhone, iPad และ iPod touch หลังอัปเดต iOS 11 แล้วพบว่าแบตเตอรี่หมดเร็วกว่าปกติ พร้อมภาพประกอบ
หลังจาก Apple ปล่อย iOS 11 เวอร์ชั่นเต็มให้กับผู้ใช้งานอุปกรณ์ iOS ที่รองรับได้อัปเดตกันไปแล้ว เชื่อว่ามีผู้ใช้งานหลายคนประสบปัญหาแบตเตอรี่หมดเร็วกว่าปกติหลังจากการอัปเดตอย่างแน่นอน โดยเฉพาะผู้ใช้ iPhone วันนี้กระปุกดอทคอมมีวิธีที่จะช่วยให้แบตเตอรี่ iPhone ของคุณกลับมาใช้งานได้ยาวนานอีกครั้ง ด้วย 12 วิธีประหยัดแบตเตอรี่ใน iOS 11 จากเว็บไซต์ WCCFtech ที่ได้แนะนำไว้ให้กับผู้ประสบปัญหาแบตเตอรี่หมดเร็วได้ลองทำกันดู ส่วนจะมีวิธีไหนบ้าง ถ้าอยากรู้แล้ว มาติดตามกันเลย
1. ปิดฟีเจอร์ Background App Refresh
เนื่องจากฟีเจอร์ Background App Refresh จะทำงานตลอดเวลา เมื่อ iPhone ของคุณได้มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตทิ้งไว้ แม้จะไม่ได้ใช้งานอยู่ก็ตาม ซึ่งส่งผลให้แบตเตอรี่หมดไวขึ้นกว่าเดิม โดยผู้ใช้งานสามารถเข้าไปตั้งค่าปิดการใช้งานฟีเจอร์ดังกล่าวได้ที่ Settings > General และเลือกปิด Background App Refresh หรือเลือกปิดเฉพาะบางแอปฯ ที่ต้องการ
2. ปิด Wi-Fi และ Bluetooth เมื่อไม่ใช้งาน
การปิด Wi-Fi และ Bluetooth จะช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถประหยัดแบตเตอรี่ iPhone ได้มากกว่าเดิม เนื่องจากฟีเจอร์ทั้ง 2 หากถูกเปิดทิ้งไว้จะยังคงทำงานอยู่ตลอดเวลา แม้จะไม่ได้ใช้งานอยู่ก็ตาม โดยผู้ใช้สามารถเข้าไปปิดการใช้งานได้ที่ Settings แล้วเลือกปิด Wi-Fi และ Bluetooth
3. ปิด Location Services หรือเลือกเปิดใช้งานเฉพาะแอปฯ บางตัว
สำหรับฟีเจอร์ Location Services ถือเป็นอีกฟีเจอร์ที่ใช้งานทรัพยากรภายในเครื่องค่อนข้างมาก เนื่องจากฟีเจอร์ดังกล่าวจะคอยค้นหาสถานที่หรือพิกัดต่าง ๆ ที่คุณอยู่ปัจจุบันทุกครั้งที่เปิดแอปฯ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งหากผู้ใช้ไม่จำเป็นจะต้องใช้งานตลอดเวลาให้ปิดการใช้งานลง โดยเข้าไปตั้งค่าได้ที่ Settings > Privacy > Location Services จากนั้นให้เลือกปิด หรือหากมีแอปฯ ที่ต้องใช้งานบ่อย ๆ ให้เลือกเป็น While Using และ Never สำหรับแอปฯ ที่ไม่ใช้งาน
4. ปิดฟีเจอร์ Motion & Fitness เมื่อไม่ใช้งาน
การปิดฟีเจอร์ Motion & Fitness จะช่วยลดการใช้งานทรัพยากรภายในเครื่องได้มากพอสมควร เนื่องจากฟีเจอร์ดังกล่าวจะคอยติดตามการเคลื่อนไหวหรือกิจกรรมต่าง ๆ ที่คุณทำอยู่ตลอดเวลา ซึ่งส่งผลให้แบตเตอรี่หมดเร็วกว่าปกติ โดยเข้าไปปิดได้ที่ Settings > Privacy > Motion & Fitness และเลือกปิด Fitness Tracking
5. ปิด 4G และเลือกใช้ 3G แทนในฟีเจอร์ Voice & Data
การเลือกปิด 4G และเลือกเปิดใช้งาน 3G แทน ซึ่งจะช่วยทำให้ผู้ใช้งานประหยัดแบตเตอรี่ได้มากขึ้น เนื่องจากฟีเจอร์ Voice & Data เป็นฟีเจอร์สำหรับการโทร. ผ่านอินเทอร์เน็ต และการใช้งานอินเทอร์เน็ตบน iPhone หากผู้ใช้งานเลือกเปิด 4G ระบบก็จะดึงข้อมูลการใช้งาน Data เต็มที่ ส่งผลทำให้แบตเตอรี่หมดเร็วกว่าปกติ โดยเข้าไปตั้งค่าได้ที่ Settings > Cellular > Cellular Data Options > Voice & Data และเลือก 3G
6. ปิดการแจ้งเตือนแอปฯ ที่ไม่ใช้
อีกหนึ่งปัญหาที่ส่งผลทำให้แบตเตอรี่หมดเร็วกว่าปกติ ก็คือเรื่องของการแจ้งเตือนต่าง ๆ ภายในเครื่อง ซึ่งหากมีแอปฯ ใดที่ไม่จำเป็นหรือไม่ต้องการรับข่าวสารแจ้งเตือนตลอดเวลา ก็ให้ทำการเลือกปิดการแจ้งเตือน โดยสามารถตั้งค่าการแจ้งเตือนเฉพาะแอปฯ ได้ง่าย ๆ ที่ Settings > Notifications และเลือกปิดแอปฯ ที่ไม่ต้องการให้แจ้งเตือน
7. ปิดใช้งาน Hey Siri
สำหรับฟีเจอร์ Hey Siri หากผู้ใช้งานไม่มีความจำเป็นต้องใช้ Siri ก็ให้ทำการปิดฟีเจอร์นี้ได้ โดยเข้าไปที่ Setting > Siri & Search และเลือกปิด Listen for “Hey Siri”
8. ปิดฟีเจอร์หน้าจอ True Tone
สำหรับฟีเจอร์หน้าจอ True Tone ก็คือการปรับแสงหน้าจอให้เปลี่ยนไปตามสภาพแวดล้อมที่คุณอยู่ในปัจจุบัน เพื่อถนอมสายตาผู้ใช้งาน แต่ฟีเจอร์ดังกล่าวหากถูกเปิดไว้ตลอดก็จะทำให้กินทรัพยากรภายในเครื่องค่อนข้างมาก ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้แบตเตอรี่หมดเร็วกว่าปกติ โดยเข้าไปปิดการใช้งานได้ที่ Settings > Display & Brightness และเลือกปิด True Tone ทั้งนี้ฟีเจอร์นี้รองรับเฉพาะ iPhone 8, iPhone 8 Plus และ iPad Pro เท่านั้น
9. เปิดฟีเจอร์ Auto-Brightness
สำหรับฟีเจอร์ Auto-Brightness บน iOS 11 เป็นฟีเจอร์ปรับความสว่างของหน้าจอตามสภาพแวดล้อมที่ผู้ใช้งานอยู่ให้อัตโนมัติ ซึ่งจะช่วยทำให้ลดการใช้พลังงานภายในเครื่องได้เป็นอย่างดี และไม่ส่งผลทำให้แบตเตอรี่หมดเร็ว สามารถเข้าไปตั้งค่าได้ที่ Settings > General > Accessibility > Display Accommodations และเลือกเปิด Auto-Brightness
10. เปิดใช้งาน Reduce Motion
อีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยประหยัดแบตเตอรี่ได้มากขึ้นบน iOS 11 ก็คือการเปิดใช้งานฟีเจอร์ Reduce Motion เนื่องจากการเปิดใช้งานฟีเจอร์ดังกล่าวจะช่วยลดการใช้งานแอนิเมชั่นเคลื่อนไหวต่าง ๆ บนหน้าจอลง ทำให้ลดการใช้พลังงานภายในเครื่อง และไม่ส่งผลทำให้แบตเตอรี่หมดเร็ว สามารถเข้าไปเปิดใช้งานได้ที่ Settings > General > Accessibility และเลือกเปิด Reduce Motion
11. ปิดฟีเจอร์ System Haptics
สำหรับฟีเจอร์ System Haptics คือฟีเจอร์ตอบสนองการสั่นเตือนต่าง ๆ ขณะใช้งาน เช่น หากผู้ใช้งานเลื่อนหน้าจอ Notification Center ลงมาตัวเครื่องก็จะสั่นเตือน หรือหากเลื่อน Control Center ขึ้นมาระบบก็จะสั่นเตือน โดยหากผู้ใช้งานไม่ต้องการให้ระบบสั่นเตือน สามารถปิดได้ที่ Settings > Sounds & Haptics และเลือกปิด System Haptics
12. ปิดฟีเจอร์ Raise to Listen
สำหรับฟีเจอร์ Raise to Listen คือการฟังข้อความเสียงอัตโนมัติ เมื่อผู้ใช้งานยก iPhone มาแนบหู ซึ่งการใช้งานส่วนนี้ แม้จะไม่ได้ใช้งานอยู่ตลอดก็ตาม แต่หากถูกเปิดทิ้งไว้ ก็จะส่งผลทำให้แบตเตอรี่หมดเร็วกว่าปกติได้ เนื่องจากฟีเจอร์ดังกล่าวจะสั่งให้พร้อมทำงานอยู่ตลอดเวลา ซึ่งหากไม่จำเป็นต้องใช้ให้ทำการปิดการใช้งานในส่วนนี้ลง โดยสามารถเข้าไปปิดได้ที่ Settings > Messages และเลือกปิด the Raise to Listen feature
ภาพจาก wccftech