iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max ดีไซน์คล้ายเดิม ไม่ค่อยมีอะไรใหม่ หรือจริง ๆ แล้วแอปเปิลแค่อยากลดความเสี่ยง
คงจะมีคนจำนวนไม่น้อยที่หลังจากเห็นการเปิดตัวของ iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max แล้วรู้สึกผิดหวัง เพราะว่ามันไม่ค่อยมีอะไรใหม่ ๆ เลย จุดเด่นที่ต่างจากรุ่นที่แล้วจริง ๆ ก็มีเพียงแค่กล้องที่เพิ่มเป็น 3 เลนส์กับฟีเจอร์ใหม่ ๆ เท่านั้น ส่วนดีไซน์ก็ยังคงเหมือนเดิม หน้าจอก็ยังมีติ่งเหมือนเดิม แถม 5G ก็ยังไม่รองรับเหมือนแบรนด์อื่น ๆ จนหลายคนเกิดคำถามขึ้นมาในใจว่า เพราะอะไรแอปเปิลจึงยังคงออก iPhone รุ่นอัปเกรดมาต่อเนื่องถึง 3 ปี ตั้งแต่ iPhone X โดยไม่มีการยกเครื่องดีไซน์ใหม่ให้หวือหวากว่าเดิม
แต่ในความเป็นจริงนั้น แอปเปิลอาจมีเหตุผลที่ทำ iPhone 11 Pro ไม่ให้ต่างจากเดิมมากนักก็ได้ โดยทางเว็บไซต์ CNET ได้ให้ความเห็นว่า นี่อาจเป็นกลยุทธ์การตลาดแบบ Play Safe (ความเสี่ยงต่ำ) ของแอปเปิลก็เป็นได้ เนื่องจากการผลิต iPhone เพื่อจำหน่ายทั่วโลกหลักร้อยล้านเครื่องนั้น ถ้าหากมีการเปลี่ยนแปลงจากรุ่นเดิมมากก็จะส่งผลต่อกระบวนการผลิต (อาจผลิตยากขึ้นหรือใช้ทุนสูงขึ้น)
จากการที่เทรนด์ตลาดมือถือในช่วงนี้ยังไม่แน่ไม่นอนว่าจะไปในทิศทางไหนกันแน่ อีกทั้งเครือข่าย 5G ก็ยังไม่แพร่หลายมากนัก แอปเปิลก็เลยอาจจะยังไม่เห็นความสำคัญที่ต้องลงทุนผลิตรุ่น 5G หรือทำอะไรใหม่ ๆ ในตอนนี้ แต่ที่เห็นได้ค่อนข้างชัดเจนคือหลาย ๆ แบรนด์เริ่มแข่งขันด้านประสิทธิภาพกล้องกันมากขึ้น แอปเปิลจึงได้เน้นการอัปเกรดกล้องของ iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max ไม่ให้น้อยหน้าแบรนด์อื่น ๆ นั่นเอง
ไม่เพียงแต่ iPhone 11 Pro เท่านั้น เพราะแม้แต่ Apple Watch Series 5 หรือ iPad 2019 ที่เปิดตัวในงานเดียวกันก็ไม่ได้มีความเปลี่ยนแปลงใด ๆ มากนัก นอกจากการอัปเกรดสเปกและเพิ่มฟีเจอร์ต่าง ๆ รวมทั้งการหันไปใช้ด้านบริการต่าง ๆ อย่าง Apple TV+ หรือ Apple Arcade ที่สามารถทำกำไรให้แอปเปิลในช่วงระยะหลัง ๆ ได้ดีอีกด้วย
การตัดสินใจของแอปเปิลในการผลิต iPhone 11 Pro ออกมาขายนี้ อาจจะต้องการเน้นขายสาวกแอปเปิลมากกว่าก็เป็นได้ เพราะสาวกแอปเปิลหลายคนก็อาจไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่า iPhone รุ่นใหม่ที่สเปกแรงขึ้น ถ่ายรูปสวยขึ้น ส่วนใครที่อยากได้ iPhone ที่มีความแปลกใหม่มากกว่านี้ก็เพียงแค่รอต่อไปอีกหนึ่งปี ซึ่งคาดว่าแอปเปิลอาจจะเตรียมอะไรไว้เซอร์ไพรส์ในปีหน้าก็ได้ อย่างน้อยก็น่าจะทำให้รองรับ 5G ที่คาดว่าจะแพร่หลายในปี 2020
ข้อมูลจาก cnet
