เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก Business Insider
ยังเป็นเรื่องราวมหากาพย์ที่ไม่ว่าจะถกเถียงกันด้วยเหตุผลอะไรก็ไม่มีวันจบสิ้นว่าระหว่าง Android และ iPhone ใครดี ใครแย่ไปกว่ากัน ยิ่งล่าสุดกับการออกมาประกาศอย่างกึกก้องของ Apple ว่า iPhone ของพวกเขาในไตรมาสที่ผ่านมาขายดีเป็นเทน้ำเทท่าถึง 74.7 ล้านเครื่อง ในระยะเวลาเพียง 3 เดือนแรกที่ iPhone 6/6 Plus เริ่มวางขาย อาจเป็นการกระตุ้นให้อารมณ์ของสาวก Android เดือดพล่านขึ้นมาด้วยความหมั่นไส้
เมื่อเป็นเช่นนี้สื่อออนไลน์อย่าง Business Insider จึงเปิดประเด็นด้วย 15 เหตุผลที่ว่ากันว่า Android ยังไงก็ดีกว่า iPhone (งานนี้ไม่รู้ว่าแอบหมั่นไส้ Apple หรือไม่) แต่เอาเป็นไปว่าไปลองติดตามรับชมกันขำ ๆ แล้วกันเนอะ !!
1. เพิ่มความจุของเครื่องด้วย micro SD แล้ว iPhone คุณทำได้ป่ะ ?
แค่หัวข้อเริ่มต้นก็พอจะเดากันได้ สำหรับผู้อ่านที่เคยใช้ทั้ง iPhone หรือ Android มาแล้ว คงจะพอทราบดีว่าพี่ iPhone ของ Apple เขาจัดสรรพื้นที่เก็บข้อมูลในเครื่องมาให้เรียบร้อย แบ่งเป็น 3 ขนาด ได้แก่ 16GB, 64GB และ 128GB และแน่นอนว่ายิ่งความจุสูงราคายิ่งแพงขึ้น ผิดกับ Android ที่ส่วนมากอัดพื้นที่เก็บข้อมูลมาไว้อยู่ที่ราว ๆ 8 - 32GB ใครอยากได้พื้นที่เพิ่มขึ้นก็ไปซื้อ microSD มาเสริมใช้งานกันได้ตามใจ ดีจะตาย เห็นป่ะ !
2. แบตเตอรี่ถอดเปลี่ยนได้นะ
ใครที่เป็นพวกอนุรักษ์สมาร์ทโฟนรุ่นเก่า ๆ ต่อให้โลกเปลี่ยนไปแค่ไหนก็ยังจะดึงดันใช้ต่อไป ยิ่งสมาร์ทโฟน Android ด้วยแล้ว ระบบต่าง ๆ ฉันไม่แคร์ แต่แบตเตอรี่สำคัญสุด หากแบตเตอรี่มีอายุการใช้งานผ่านมาสัก 2-3 ปี ก็ถึงเวลาเปลี่ยนได้เอง (หากยังมีแบตเตอรี่เฉพาะรุ่นนั้น ๆ ขายอยู่นะ) แล้ว iPhone ล่ะ เปลี่ยนก็ไม่ได้ ถอดฝาหลังเองยังทำไม่ได้เลย
3. หารีโมททีวีไม่เจอทำไงดี ? ใช้สมาร์ทโฟน Android ซะเลย !
ทุกวันนี้มีสมาร์ทโฟน Android หลายรุ่น ทั้ง LG G ซีรีส์ทั้งหลาย, Samsung Galaxy S5 หรือแม้กระทั่ง HTC One มีฟีเจอร์ที่สามารถเชื่อมต่อกับทีวีบางรุ่น ย้ำนะว่า ! บางรุ่น ! เพื่อใช้สมาร์ทโฟนเป็นรีโมททีวีแทนได้ แล้ว iPhone ล่ะ ? จ๋อยไปดิ
4. การ Screenshot หน้าจอ หรือดาวน์โหลดภาพโดย Android จะถูกจัดเก็บไว้ในโฟลเดอร์แยก
น่าจะเป็นเรื่องของความสะดวกสบายในการค้นหาภาพ ที่ผู้ใช้สมาร์ทโฟน Android สามารถเลือกภาพที่เกิดจากการ Screenshot หรือดาวน์โหลดมาจาก LINE, หรือเว็บเพจต่าง ๆ ได้จากโฟลเดอร์ที่ตั้งแยกออกมาจากโฟลเดอร์ภาพจากกล้องโดยอัตโนมัติ
5. Android หยิบเพลงจากคอมพิวเตอร์ลงสมาร์ทโฟนได้ง่าย ๆ แต่ iPhone ต้องพึ่ง iTunes
เป็นเรื่องง่ายอีกประการสำหรับชาว Android ที่ต้องการฟังเพลงอันไพเราะ เสนาะหู โดนอกโดนใจ เพียงต่อสาย USB เข้ากับสมาร์ทโฟนและคอมพิวเตอร์ ก็สามารถลากไฟล์เพลงที่ต้องการลงโฟลเดอร์ได้อย่างง่ายดาย ผิดกับ iPhone ที่ต้องดำเนินการผ่าน iTunes ซึ่งหลายคนที่เพิ่งเคยใช้คงบ่นกันยกใหญ่ แต่หลายท่านน่าจะพอทราบว่าทุกวันนี้มีโปรแกรมสำหรับคอมพิวเตอร์ชนิดหนึ่งที่สามารถเชื่อมต่อกับ iPhone และสามารถลากไฟล์เพลงหรือไฟล์ภาพต่าง ๆ มาไว้ใน iPhone ได้คล้าย Android ไม่บอกก็คงน่าจะพอทราบกันนะ ???
6. สาย micro-USB สามารถใช้กับ Android หลาย ๆ รุ่นได้
ในความหลากหลายของอุปกรณ์ Android แต่พอร์ตส่วนใหญ่รองรับกับสาย micro-USB ส่งผลให้สาย USB สายเดียวสามารถใช้ร่วมกับสมาร์ทโฟนได้หลายรุ่น
7. ดาวน์โหลดแอพฯ ใน Google Play Store จากหน้าเว็บเพจ และติดตั้งบนสมาร์ทโฟนได้ทันที
หากท่านใดที่กำลังเปิดคอมพิวเตอร์และกำลังเข้าหน้าเว็บ Google Play Store หากบังเอิญไปพบแอพพลิเคชั่นโดน ๆ สามารถคลิกติดตั้งจากบนคอมพิวเตอร์ และเมื่อเข้ามาดูในสมาร์ทโฟน จะเห็นว่า แอพฯ ที่เลือกไว้นั้น ถูกติดตั้งไว้ให้เรียบร้อย แต่มีข้อแม้ว่ายูสเซอร์และพาสเวิร์ดของ Google ที่ใช้ในคอมพิวเตอร์จะต้องเป็นอันเดียวกันกับที่ใช้บนสมาร์ทโฟนด้วย
8. ตั้งหลายยูสเซอร์ได้
เป็นอีกช่องทางในการตั้งค่าความเป็นส่วนตัวให้กับเจ้าของสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ต Android ตัวจริง ! โดยหากอุปกรณ์ของคุณมีผู้ใช้หลายคน สามารถสร้างแอคเคาท์หรือบัญชีเพิ่มขึ้นมา เพื่อแยกกับบัญชีส่วนตัวของเจ้าของอุปกรณ์ได้ แต่ทั้ง iPhone และ iPad ยังต้องก้มหน้ายอมรับว่าทำไม่ได้นะจ๊ะ
9. Apple Maps ยังต้องหลบ ! เพราะสู้ Google Maps ไม่ได้
ย้อนไปเมื่อ 2-3 ปีก่อน Apple ขอท้าชน Google Maps ด้วยแผนที่ที่มีรูปแบบการแสดงผล 3 มิติ หรือ Apple Maps แต่ด้วยการพัฒนาที่ยังขาดความสมบูรณ์ ทำให้ผู้ใช้ iPhone ส่วนมากเกิดความไม่พอใจ เดือดร้อนถึงซีอีโอ Apple ต้องรีบออกมาขอโทษเป็นการยกใหญ่ ซึ่งสุดท้ายแล้วแอพฯ แผนที่นำทางที่ได้รับความนิยมสูงสุดในปัจจุบันก็ยังเป็น Google Maps และเชื่อว่าผู้ใช้ iPhone จำนวนไม่น้อยที่มีการใช้ Google Maps ในการนำทางด้วย
10. ใส่รหัสบนหน้าล็อกสกรีนด้วยการลากจุดต่อจุด
ตั้งแต่ iPhone 5s จนมาถึง iPhone 6/6 Plus และกับ iPad Air 2 มาพร้อมกับการรักษาความปลอดภัยก่อนเข้าใช้งานด้วย Touch ID หรือเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือใต้ปุ่มโฮม ส่วน Android ก็ไม่น้อยหน้ามีคุณสมบัติการใส่รหัสบนหน้าล็อกสกรีนก่อนการใช้งานได้ด้วยการลากจุดต่อจุด ซึ่งดูแล้วก็เป็นข้อดีที่แตกต่างกันไป (เป็นข้อที่ตอบยากเหมือนกันว่าของใครดี ของใครแย่)
11. การปรับแต่งหรือเพิ่มวิตเจ็ต
สำหรับผู้ใช้สมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ต Android คงไม่รู้สึกเบื่อกับรูปแบบของการแสดงผล เนื่องจาก Android มีตัวเลือกหรือแอพฯ Launcher หรือวิตเจ็ตมากมายที่สามารถดาวน์โหลดและติดตั้ง เพื่อปรับเปลี่ยนรูปแบบของการแสดงผลได้อย่างหลากหลาย ผิดกับ iPhone และ iPad ที่ไม่สามารถทำได้ นอกจากเปลี่ยนพื้นหลังของโฮมสกรีนและล็อกสกรีน
12. ใน Android สามารถจัดการแอพพลิเคชั่นไม่ให้แสดงผลบนโฮมสกรีนได้
ใน iPhone และ iPad จะเห็นว่ามีแอพฯ โน่นนี่อยู่เต็มบนโฮมสกรีนไปหมด ผิดกับการใช้ Android ที่หากต้องการให้โฮมสกรีนดูโล่งสะอาดตา ก็สามารถกำหนดให้แอพฯ ต่าง ๆ ปรากฏอยู่ในเมนูแอพฯ อย่างเดียวได้
13. ฟังก์ชั่นมัลติวินโดว์
อาจเป็นฟังก์ชั่นบนอุปกรณ์ Android บางรุ่นเท่านั้นที่รองรับการแสดงผลแบบมัลติวินโดว์ หรือการแสดงหลายแอพฯ พร้อมกันในหน้าเดียวได้ ยกตัวอย่าง Samsung Galaxy Note4
14. การแจ้งเตือน
ในการแจ้งเตือนของทั้ง Android และ iPhone หรือ iPad จะแสดงหน้าป๊อปอัพขึ้นมาคล้ายกัน แต่สำหรับ Android แล้วในแท็บด้านบนของโฮมสกรีนจะปรากฏเป็นไอคอนของแต่ละแอพฯ ที่มีแจ้งเตือนเข้ามา เพื่อให้ผู้ใช้ทราบว่าจะต้องตอบสนองต่อการแจ้งเตือนนั้น ๆ ไปที่แอพฯ ใดบ้าง
15. แสดงชั่วโมงการนอน เมื่อตั้งนาฬิกาปลุก
เป็นอีกหนึ่งการแสดงผลเล็ก ๆ หากผู้ใช้ Android สังเกตจะพบว่าเมื่อตั้งนาฬิกาปลุกเสร็จแล้ว จะมีหน้าต่างป๊อปอัพขึ้นมาเพื่อแสดงให้เห็นว่าจากเวลาปัจจุบันนั้น จนถึงเวลาที่ตั้งปลุกคุณมีเวลานอนอีกกี่ชั่วโมง